ลักษณะสำนวนไทย
1. มีความหมายโดยนัย คือ ความหมายไม่ตรงตัวตามความหมายโดยอรรถ พูดอย่างหนึ่งมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง เช่น
กินปูนร้อนท้อง -
รู้สึกเดือดร้อนเพราะมีความผิดอยู่
ขนทรายเข้าวัด -
ร่วมมือร่วมใจกันทำบุญ
ฤษีเลี้ยงลิง -
เลี้ยงเด็กซุกซน เป็นต้น
2. ใช้ถ้อยคำกินความมาก
การใช้ถ้อยคำในสำนวนส่วนใหญ่เข้าลักษณะใช้คำน้อยกินความมาก เนื้อความมีความหมายเด่น เช่น
ก่อหวอด ขึ้นคาน คว่ำบาตร
ขมิ้นกับปูน คมในฝัก กิ้งก่าได้ทอง
ใกล้เกลือกินด่าง
เด็ดบัวไว้ใย
ซึ่งล้วนมีความหมายอธิบายได้ยืดยาว
ส่วนที่ใช้ถ้อยคำหลายคำ
แต่ละคำก็ล้วนมีความหมายและช่วยให้ได้ความกระจ่างชัดเจน
3. ถ้อยคำมีความไพเราะ การใช้ถ้อยคำในสำนวนไทยมักใช้ถ้อยคำสละสลวยมีสัมผัสคล้องจอง เน้นการเล่นเสียงสัมผัสสระ สัมผัสอักษร
ให้เสียงกระทบกระทั่งกันเกิดความไพเราะน่าฟังทั้งสัมผัสภายในวรรคและระหว่างวรรค มีการจัดจังหวะคำหลายรูปแบบ เช่น เป็นกลุ่มคำซ้อน 4 คำ
อย่างก่อกรรมทำเข็ญ ก่อร่างสร้างตัว
คู่ผัวตัวเมีย คู่เรียงเคียงหมอน คำซ้อน 6 คำ เช่น
ขิงก็ราข่าก็แรง
ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น
ยุให้รำตำให้รั่ว ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง คำซ้อน 8 คำ หรือมากกว่าบ้าง เช่น
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง
กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง
กำแพงมีหูประตูมีตา เป็นต้น
ลักษณะสัมผัสคล้องจองเป็นร้อยกรองง่าย ๆ หลายรูปแบบ
มีทั้งคล้องจองกันในข้อความตอนเดียว เช่น ตื่นก่อนนอนหลัง ต้อนรับขับสู้
ผูกรักสมัครใคร่ โอภาปราศรัย และคล้องจองในข้อ ความที่เป็น 2 ตอน
ซึ่งมีอยู่จำนวนมากและในข้อความมากกว่า 2 ตอน เช่น
น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง
เป็นต้น
4. สำนวนไทยมักมีการเปรียบเปรยหรือมีประวัติที่มา ส่วนใหญ่มาจากการเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ประเพณี ศาสนา นิยาย นิทานต่าง ๆ กิริยาอาการ
และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตัวอย่างเช่น กลับหน้ามือเป็นหลังมือ นอนตาไม่หลับ
ใจดีสู้เสือ กินไข่ขวัญ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น