วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะของสำนวนไทย


ลักษณะสำนวนไทย



          1. มีความหมายโดยนัย  คือ ความหมายไม่ตรงตัวตามความหมายโดยอรรถ  พูดอย่างหนึ่งมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง  เช่น
                กินปูนร้อนท้อง  -       รู้สึกเดือดร้อนเพราะมีความผิดอยู่
                ขนทรายเข้าวัด  -       ร่วมมือร่วมใจกันทำบุญ
                ฤษีเลี้ยงลิง         -       เลี้ยงเด็กซุกซน   เป็นต้น

          2. ใช้ถ้อยคำกินความมาก  การใช้ถ้อยคำในสำนวนส่วนใหญ่เข้าลักษณะใช้คำน้อยกินความมาก  เนื้อความมีความหมายเด่น  เช่น  ก่อหวอด  ขึ้นคาน  คว่ำบาตร  ขมิ้นกับปูน  คมในฝัก  กิ้งก่าได้ทอง  ใกล้เกลือกินด่าง  เด็ดบัวไว้ใย  ซึ่งล้วนมีความหมายอธิบายได้ยืดยาว  ส่วนที่ใช้ถ้อยคำหลายคำ  แต่ละคำก็ล้วนมีความหมายและช่วยให้ได้ความกระจ่างชัดเจน 

          3. ถ้อยคำมีความไพเราะ  การใช้ถ้อยคำในสำนวนไทยมักใช้ถ้อยคำสละสลวยมีสัมผัสคล้องจอง  เน้นการเล่นเสียงสัมผัสสระ  สัมผัสอักษร  ให้เสียงกระทบกระทั่งกันเกิดความไพเราะน่าฟังทั้งสัมผัสภายในวรรคและระหว่างวรรค  มีการจัดจังหวะคำหลายรูปแบบ เช่น  เป็นกลุ่มคำซ้อน 4 คำ อย่างก่อกรรมทำเข็ญ  ก่อร่างสร้างตัว คู่ผัวตัวเมีย  คู่เรียงเคียงหมอน  คำซ้อน 6 คำ  เช่น  ขิงก็ราข่าก็แรง  ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น  ยุให้รำตำให้รั่ว  ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง  คำซ้อน 8 คำ หรือมากกว่าบ้าง  เช่น  ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง  กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง  กำแพงมีหูประตูมีตา  เป็นต้น
          ลักษณะสัมผัสคล้องจองเป็นร้อยกรองง่าย ๆ  หลายรูปแบบ  มีทั้งคล้องจองกันในข้อความตอนเดียว เช่น ตื่นก่อนนอนหลัง  ต้อนรับขับสู้  ผูกรักสมัครใคร่  โอภาปราศรัย   และคล้องจองในข้อ ความที่เป็น 2 ตอน  ซึ่งมีอยู่จำนวนมากและในข้อความมากกว่า 2 ตอน  เช่น  น้ำมาปลากินมด  น้ำลดมดกินปลา  เอาหูไปนา เอาตาไปไร่  อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน  จะจนใจเอง  เป็นต้น


          4. สำนวนไทยมักมีการเปรียบเปรยหรือมีประวัติที่มา  ส่วนใหญ่มาจากการเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ประเพณี ศาสนา นิยาย นิทานต่าง ๆ กิริยาอาการ  และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  ตัวอย่างเช่น  กลับหน้ามือเป็นหลังมือ นอนตาไม่หลับ ใจดีสู้เสือ   กินไข่ขวัญ  ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง  เป็นต้น  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น